วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

          อยู่ห่างจากตัวเมือง 8 กิโลเมตร จากสนามกีฬาสุระกุลเลี้ยวซ้ายไปห้า แยกฉลองวันฉลองจะอยู่ทางซ้าย ก่อนถึงห้าแยกประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่ ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพี่แช่มซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือชาวบ้านในการต่อสู้กับพวกอั้งยี่ที่ คิดกบฎเมืองภูเก็ตจนสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2419 ในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อ หลวงพ่อช่วง หลวงพ่อเกลื้อม เจ้าอาวาสวัดในสมัยต่อมาซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของ ชาวภูเก็ตโดยทั่วไป

 
 
           วัดเก่าแก่ที่ชาวภูเก็ต และชาวพุทธทั่วไป ทั้งใน และนอกประเทศ เคารพศรัทธา พากันมากราบไหว้อยู่เนืองๆ ทั้งนี้ด้วยเชื่อกันว่า ใครที่มาไหว้พระ และทำบุญที่วัดนี้แล้ว จะเกิดศิริมงคลแก่ตัว สภาพภูมิอากาศแบบฝนเมืองร้อน มีอากาศอบอุ่น ชุ่มชื่น ลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา ทั้งปีมี 2 ฤดูกาลคือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ช่วงที่มีอากาศดีที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่มีท้องฟ้าแจ่มใส ภาษาของท้องถิ่นจังหวัดนี้เป็นภาษาปักษ์ใต้ ที่มีเอกลักษณะของตนเอง อาชีพของพลเมืองมีทั้งด้านการเกษตรและสวนยางพารา การอุตสาหกรรม เหมืองแร่ ดีบุก การทำยางแผ่นรมควัน การทำปลาบ่น ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างกว้างขวางมาก มีโรงแรมที่มีคุณภาพมีมาตรฐาน งานประเพณี ท้าวเทพกษัตรี-ท้าวศรีสุนทร จัดขึ้นทุกปี ตรงกับวันที่ 13 มีนาคมของทุกปีเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ที่สองวีรสตรีสามารถปกป้องเมืองถลางให้รอดพ้นจากข้าศึก
 
 
 
             ภูเก็ตมีอะไรดี? ภูเก็ตก็มีพระคณาจารย์ดี คือหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง พระคุณท่านเป็นผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทรงไว้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ใครมาเที่ยวเมืองภูเก็ตแล้วไม่ได้ไปสักการบูชาหลวงพ่อแช่ม ก็เหมือนกับไม่ได้ไปเยือนภูเก็ต เขาว่ากันอย่างนั้น หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) อดีตเจ้าอาวาสวัดฉลอง ภูเก็ต ถึงแม้พระคุณท่านจะได้มรณภาพไปนานแล้วก็ตาม ชื่อเสียงและเกียรติคุณของพระคุณท่านยังตรึงตราตรึงใจอยู่ในความทรงจำของชาวภูเก็ตและชาวไทยทั่วทุกภาค แม้แต่ประชาชนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงยังให้ความเคารพเลื่อมใส ศรัทธายิ่ง ดุจดังเทพเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์นานัปการเมื่อครั้งพระคุณท่านมีชีวิตอยู่มีผู้ศรัทธาและเลื่อมใสท่านมาก ถึงขนาดรุมกันปิดทองที่ตัวท่านจนแลดูเหลืองอร่ามไปทั้งร่าง เฉกเช่นเดียวกับปิดทองพระพุทธรูปบูชา นับเป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ประวัติวัดฉลอง

            "วัดฉลอง"เป็นวัดที่มีมาแต่ก่อนเก่า จึงไม่มีท่านผู้ใดทราบประวัติความเป็นมาได้ละเอียดนัก วัดฉลองนี้ตั้งอยู่บริเวณทุ่งนาและป่าละเมาะ
ทางด้านเหนือของเกาะภูเก็ต ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7-8 กิโลเมตร ตามหลักฐานที่ปรากฎมีศาลาเก่าแก่อยู่หลังหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก(ของวัดในปัจจุบันนี้) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระปฎิมา จากสภาพขององค์ท่าน นับว่า...เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาช้านานแล้ว จนไม่อาจคำนวณอายุที่แน่นอนได้ชาวบ้านฉลองและคนทั่วไปเรียกท่านว่า "พ่อท่านเจ้าวัด" ด้านซ้ายขององค์ท่านมีรูปหล่อของชายชรานั่งถือตะบันหมาก ชาวบ้านเรียกว่า "ตาขี้เหล็ก" ส่วนด้านขวาของ "พ่อท่านเจ้าวัด" นั้น มีรูปหล่อเป็นยักษ์ถือกระบองแลดูน่ากลัว ชาวบ้านเรียกว่า "นนทรีย์" รูปหล่อทั้ง 3 องค์นี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์นัก จนเป็นที่โจษขานกันมานานแล้วเจ้าอาวาสวัดฉลององค์แรกท่านเป็นพระเถระองค์ใดนั้น ในประวัติได้บันทึกเอาไว้ ก็เลยไม่ทราบนามท่านเท่าที่ทราบมี "พ่อท่านเฒ่า" ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ก่อน "หลวงพ่อแช่ม" ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่เลื่องลือ เมื่อ"ท่านพ่อเฒ่า" ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราอาพาธ "หลวงพ่อแช่ม" ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจาก "พ่อท่านเฒ่า"
ต่อมา....ท่านได้รับพระราชทานเลื่อมสมศักดิ์ว่าที่เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อ "วัดฉลอง" เสียใหม่เป็น "วัดไชยธาราราม" แต่ประชาชนโดยทั่วไปมักเรียกว่า "วัดฉลอง" เพราะเป็นชื่อที่คุ้นหูมาก่อน


 
 
ชาติกำเนิด-ประวัติย่อ
             "หลวงพ่อแช่ม" วัดฉลอง ภูเก็ต ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เมื่อปีกุน พุทธศักราช 2370 ในรัชสมัยของ"พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว"(รัชกาลที่ 3) (นามโยมบิดา-มารดา) ไม่ปรากฏในประวัติแม้แต่ "หลวงพ่อช่วง" วัดท่าฉลอง ศิษย์เอกของท่านก็ไม่สามารถให้รายละเอียดได้) หลวงพ่อแช่ม ชาตะ พ.ศ.2370 มรณภาพ พ.ศ.2451พ่อแม่ส่งให้อยู่ ณ วัดฉลอง เป็นศิษย์ของพ่อท่านเฒ่าตั้งแต่เล็ก เมื่อมีอายุพอจะบวชได้ก็บวชเป็นสามเณร และ ต่อมาเมื่ออายุถึงที่จะบวชเป็นพระภิกษุก็บวชเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ ณ วัดฉลองนี้หลวงพ่อแช่มได้ศึกษาวิปัสนาธุระจากพ่อท่านเฒ่าจนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสนาธุระเป็นอย่างสูง ความมีชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มปรากฏชัดในคราวที่หลวงพ่อแช่มเป็นหัวหน้าปราบอั้งยี่ ซึ่งท่านจะได้ทราบต่อไปนี้

            ปราบอั้งยี่
ในปีพุทธศักราช 2419 กรรมกรเหมืองแร่เป็นจำนวนหมื่น ในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงได้ซ่องสุมผู้คนก่อตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่า อั้งยี่ โดยเฉพาะพวกอั้งยี่ในจังหวัดภูเก็ตก่อเหตุวุ่นวายถึงขนาดจะเข้ายึดการปกครองของจังหวัดเป็นของพวกตน ทางราชการในสมัยนั้นไม่อาจปราบให้สงบราบคาบได้ พวกอั้งยี่ถืออาวุธรุกไล่ ยิง ฟันชาวบ้านล้มตายลงเป็นจำนวนมากชาวบ้านไม่อาจต่อสู้ป้องกันตนเองและทรัพย์สิน ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป เฉพาะในตำบลฉลองชาวบ้านได้หลบหนีเข้าป่า เข้าวัด ทิ้งบ้านเรือนปล่อยให้พวกอั้งยี่เผาบ้านเรือนหมู่บ้านซึ่งพวกอั้งยี่เผา ได้ชื่อว่า บ้านไฟไหม้ จนกระทั่งบัดนี้ชาวบ้านที่หลบหนีเข้ามาในวัดฉลอง เมื่อพวกอั้งยี่รุกไล่ใกล้วัดเข้ามา ต่างก็เข้าไปแจ้งให้หลวงพ่อแช่มทราบ และนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่ม หลบหนีออกจากวัดฉลองไปด้วย หลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนี ท่านว่า ท่านอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่เด็กจนบวชเป็นพระ และเป็นเจ้าวัดอยู่ขณะนี้ จะให้หนีทิ้งวัดไปได้อย่างไร


 
 
                เมื่อหลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนีทิ้งวัด ชาวบ้านต่างก็แจ้งหลวงพ่อแช่มว่า เมื่อท่านไม่หนีพวกเขาก็ไม่หนีจะขอสู้มันละ พ่อท่านมีอะไรเป็นเครื่องคุ้มกันตัวขอให้ทำให้ด้วย หลวงพ่อแช่มจึงทำผ้าประเจียดแจกโพกศีรษะคนละผืน เมื่อได้ของคุ้มกันคนไทยชาวบ้านฉลองก็ออกไปชักชวนคนอื่นๆ ที่หลบหนีไปอยู่ตามป่า กลับมารวมพวกกันอยู่ในวัด หาอาวุธ ปืน มีด เตรียมต่อสู้กับพวกอั้งยี่
พวกอั้งยี่ เที่ยวรุกไล่ฆ่าฟันชาวบ้าน ไม่มีใครต่อสู้ก็จะชะล่าใจ ประมาทรุกไล่ฆ่าชาวบ้านมาถึงวัดฉลอง ชาวบ้านซึ่งได้รับผ้าประเจียดจากหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะไว้ก็ออกต่อต้านพวกอั้งยี่ พวกอั้งยี่ไม่สามารถทำร้ายชาวบ้านก็ถูกชาวบ้านไล่ฆ่าฟันแตกหนีไป ครั้งนี้เป็นชัยชนะครั้งแรกของไทยชาวบ้านฉลอง ข่าวชนะศึกครั้งแรกของชาวบ้านฉลอง รู้ถึงชาวบ้านที่หลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่างพากลับมายังวัดฉลอง รับอาสาว่า ถ้าพวกอั้งยี่มารบอีกก็จะต่อสู้ ขอให้หลวงพ่อแช่มจัดเครื่องคุ้มครองตัวให้ หลวงพ่อแช่มก็ทำผ้าประเจียดแจกจ่ายให้คนละผืน พร้อมกับแจ้งแก่ชาวบ้านว่า "ข้าเป็นพระสงฆ์จะรบราฆ่าฟันกับใครไม่ได้ พวกสูจะรบก็คิดอ่านกันเอาเอง ข้าจะทำเครื่องคุณพระให้ไว้สำหรับป้องกันตัวเท่านั้น" ชาวบ้านเอาผ้าประเจียดซึ่งหลวงพ่อแช่มทำให้โพกศีรษะเป็นเครื่องหมายบอกต่อต้านพวกอั้งยี่

               พวกอั้งยี่ให้ฉายาคนไทยชาวบ้านฉลองว่า พวกหัวขาว ยกพวกมาโจมตีคนไทยชาวบ้านฉลองหลายครั้ง ชาวบ้านถือเอากำแพงพระอุโบสถเป็นแนวป้องกัน อั้งยี่ไม่สามารถตีฝ่าเข้ามาได้ ภายหลังจัดเป็นกองทัพเป็นจำนวนพัน ตั้งแม่ทัพ นายกอง มีธงรบ ม้าล่อ เป็นเครื่องประโคมขณะรบกัน ยกทัพเข้าล้อมรอบกำแพงพระอุโบสถ ยิงปืน พุ่งแหลน พุ่งอีโต้ เข้ามาที่กำแพง เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่บรรดาชาวบ้านซึ่งได้เครื่องคุ้มกันตัวจากหลวงพ่อแช่มต่างก็แคล้วคลาดไม่ถูกอาวุธของพวกอั้งยี่เลย รบกันจนเที่ยงพวกอั้งยี่ยกธงขอพักรบ ถอยไปพักกันใต้ร่มไม้หุงหาอาหาร ต้มข้าวต้มกินกัน ใครมีฝิ่นก็เอาฝิ่นออกมาสูบ อิ่มหนำสำราญแล้วก็นอนพักผ่อนชาวบ้านแอบดูอยู่ในกำแพงโบสถ์ เห็นได้โอกาสในขณะที่พวกอั้งยี่เผลอก็ออกไปโจมตีบ้าง พวกอั้งยี่ไม่ทันรู้ตัวก็ล้มตายและแตกพ่ายไป

              หัวหน้าอั้งยี่ประกาศให้สินบน ใครสามารถจับตัวหลวงพ่อแช่มวัดฉลองไปมอบตัวให้จะให้เงินถึง 5,000 เหรียญ เล่าลือกันทั่วไปในวงการอั้งยี่ว่า คนไทยชาวบ้านฉลองซึ่งได้รับผ้าประเจียดของหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะ ล้วนแต่เป็นยักษ์มารคงทนต่ออาวุธ ไม่สามารถทำร้ายได้ ยกทัพมาตีกี่ครั้งๆ ก็ถูกตีโต้กลับไป ในทุกครั้ง จนต้องเจรจาขอหย่าศึกยอมแพ้แก่ชาวบ้านศิษย์หลวงพ่อแช่มโดยไม่มีเงื่อนไข
คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์หลวงพ่อแช่ม ให้เดินทางไปยังกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์ทรงปฏิสันฐานกับหลวงพ่อแช่มด้วยพระองค์เอง หลวงพ่อแช่มและคณะเดินทางถึงกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานสมฌศักดิ์หลวงพ่อแช่ม เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญานมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสุงสุดซึ่งบรรพชิตจักพึงมีในสมัยนั้นในโอกาสเดียวกัน ทรงพระราชทานนามวัดฉลองเป็นวัดไชยาธาราราม
 
 
บารมีหลวงพ่อแช่ม               จากคำบอกเล่าของคณะผู้ติดตามหลวงพ่อแช่มไปในครั้งนั้นแจ้งว่ามีพระสนมองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 5 ป่วยเป็นอัมพาต หลวงพ่อแช่มได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้รดตัวรักษา ปรากฏว่าอาการป่วยหายลงโดยเร็วสามารถลุกนั่งได้ อนึ่ง การเดินทางไปและกลับจากจังหวัดภูเก็ตกับกรุงเทพมหานคร ผ่านวัดๆ หนึ่งในจังหวัดชุมพร หลวงพ่อแช่มและคณะได้เข้าพักระหว่างทาง ณ ศาลาหน้าวัด เจ้าอาวาสวัดนั้น นิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มเข้าไปพักในวัด แต่ หลวงพ่อเกรงใจและแจ้งว่าตั้งใจจะพักที่ศาลาหน้าวัดแล้วก็ขอพักที่เดิมเถิด เจ้าอาวาสและชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่า การพักที่ศาลาหน้าวัดอันตรายอาจเกิดพวกโจร จะมาลักเอาสิ่งของของหลวงพ่อแช่มและคณะไปหมด หลวงพ่อแช่มตอบว่าเมื่อมันเอาไปได้ มันก็คงเอามาคืนได้ เจ้าอาวาสวัดและชาวบ้านอ้อนวอน หลวงพ่อแช่มก็คงยืนยันขอพักที่เดิม
เล่าว่า ตกตอนดึกคืนนั้น โจรป่ารวม 6 คน เข้ามาล้อมศาลาไว้ ขณะคนอื่นๆ หลับหมดแล้ว คงเหลือแต่หลวงพ่อแช่มองค์เดียว พวกโจรเอื้อมเอาของไม่ถึง หลวงพ่อแช่มก็ช่วยผลักของให้ สิ่งของส่วนมากบรรจุปิ๊บใส่สาแหรก พวกโจรพอได้ของก็พากันขนเอาไป

              รุ่งเช้าเจ้าอาวาสและชาวบ้านมาเยี่ยม ทราบเหตุที่เกิดขึ้นก็พากันไปตามกำนันนายบ้านมาเพื่อจะไปตามพวกโจร หลวงพ่อแช่มก็ห้ามมิให้ตามไป ต่อมาครู่หนึ่ง พวกโจรก็กลับมา แต่การกลับมาคราวนี้หัวหน้าโจรถูกหามกลับมาพร้อมกับสิ่งของซึ่งลักไปด้วย กำนันนายบ้านก็เข้าคุมตัว หัวหน้าโจรปวดท้องจุดเสียดร้องครางโอดโอย ทราบว่าระหว่างที่ขนของซึ่งพวกตนขโมยไปนั้น คล้ายมีเสียงบอกว่า ให้ส่งของกลับไปเสีย มิฉะนั้น จะเกิดอาเพศ พวกโจรไม่เชื่อขนของต่อไปอีก หัวหน้าโจรจึงเกิดมีอาการจุกเสียดขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เลยปรึกษากันตกลงขนสิ่งของกลับมาคืนหลวงพ่อแช่มสั่งสอนว่า ต่อไปขอให้เลิกเป็นโจรอาการปวดก็หาย กำนันนายบ้านจะจับพวกโจรส่งกรมการเมืองชุมพร แต่หลวงพ่อแช่มได้ขอร้องมิให้จับกุมขอให้ปล่อยตัวไปไม่เพียงแต่ชนชาวไทยในภูเก็ตเท่านั้นที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อแช่ม ชาวจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนชาวจังหวัดต่างๆ ในมาเลเซีย เช่น ชาวจังหวัดปีนัง เป็นต้นต่างให้ความคารพนับถือในองค์หลวงพ่อแช่มเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะชาวพุทธในจังหวัดปีนัง ยกย่องหลวงพ่อแช่มเป็นเสมือนสังฆปาโมกข์เมืองปีนังด้วยการปราบอั้งยี่ในครั้งนั้น เมื่อพวกอั้งยี่แพ้ศึกแล้วก็หันมาเลื่อมใสให้ความเคารพนับถือต่อหลวงพ่อแช่มเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ซึ่งนับถือศาสนาอื่นก็มีความเคารพเลื่อมใสต่อหลวงพ่อแช่ม เกิดเหตุอาเพศต่างๆในครัวเรือนต่างก็บนบานหลวงพ่อแช่มให้ช่วยขจัดปัดเป่าให้



 
 
            ชาวเรือพวกหนึ่งลงเรือพายออกไปหาปลาในทะเลถูกคลื่น และพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่มต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์ต่างๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มได้ ก็บนหลวงพ่อแช่มว่าขอให้หลวงพ่อแช่มบันดาลให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะติดทองที่ตัวหลวงพ่อแช่ม คลื่นลมก็สงบ มาถึงบ้านก็นำทองคำเปลวไปหาหลวงพ่อแช่ม เล่าให้หลวงพ่อแช่มทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน หลวงพ่อแช่มบอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดทองที่พระพุทธรูป ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็บอกว่าถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้ปิดหากแรงบนทำให้เกิดอาเพศอีก จะแก้อย่างไร ในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็จำต้องยอมให้ชาวบ้านปิดทองที่ตัวท่านโดยให้ปิดที่แขนและเท้า ชาวบ้านอื่นๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก พอหลวงพ่อแช่มออกจากวัดไปทำธุระในเมือง ชาวบ้านต่างก็นำทองคำเปลวรอคอยปิดที่หน้าแขนของหลวงพ่อแทบทุกบ้านเรือน จนถือเป็นธรรมเนียม เมื่อกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาจังหวัดภูเก็ตนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มไปหา ก็ยังทรงเห็นทองคำเปลวปิดอยู่ที่หน้าแข้งของหลวงพ่อแช่ม นับเป็นพระภิกษุองค์แรกของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บนทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่ไม้เท้าของหลวงพ่อแช่ม ซึ่งท่านถือประจำกายก็มีความขลัง ประวัติความขลังของไม้เท้ามีดังนี้ เด็กหญิงรุ่นสาวคนหนึ่ง เป็นคนชอบพูดอะไรแผลงๆ ครั้งหนึ่งเด็กหญิงคนนั้นเกิดปวดท้องจุดเสียดอย่างแรง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลา จึงบนหลวงพ่อแช่มว่า ขอให้อาการปวดท้องหายเถิด ถ้าหายแล้วจะนำทองไปปิดที่ของลับของหลวงพ่อแช่ม อาการปวดท้องก็หายไป เด็กหญิงคนนั้นเมื่อหายแล้วก็ไม่สนใจ ถือว่าพูดเล่นสนุกๆ ต่อมาอาการปวดท้องเกิดขึ้นมาอีก พ่อแม่สงสัยจะถูกแรงสินบนจึงปลอบถามเด็ก เด็กก็เล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จึงนำเด็กไปหาหลวงพ่อแช่มหลวงพ่อแช่มกล่าวว่าลูกมึงบนสัปดนอย่างนี้ใครจะให้ปิดทองอย่างนั้นได้ พ่อแม่เด็กต่างก็อ้อนวอนกลัวลูกจะตายเพราะไม่ได้แก้บน ในที่สุดหลวงพ่อแช่มคิดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้โดยเอาไม้เท้านั่งทับสอดเข้าให้เด็กหญิงคนนั้นปิดทองที่ปลายไม้เท้า กลับบ้านอาการปวดท้องจุดเสียดก็หายไป ไม้เท้านั่งทับของหลวงพ่อแช่มอันนี้ยังคงมีอยู่ และใช้เป็นไม้สำหรับจี้เด็กๆ ที่เป็นไส้เลื่อน เป็นฝีเป็นปาน อาการเหล่านั้นก็หายไปหรือชงักการลุกลามต่อไป เป็นที่น่าประหลาดหลวงพ่อแช่มมรณภาพในปี พ.ศ.2451เมื่อมรณภาพ บรรดาศิษย์ได้ตรวจหาทรัพย์สินของหลวงพ่อแช่มปรากฏว่าหลวงพ่อแช่มมีเงินเหลือเพียง 50 เหรียญเท่านั้น ความทราบถึงบรรดาชาวบ้านปีนังและจังหวัดอื่นในมาเลเซีย ต่างก็นำเงิน เอาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น มีข้าวสาร มีคนมาช่วยเหลือหลายเรือสำเภา งานศพของหลวงพ่อแช่มจัดได้ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในจังหวัดภูเก็ต หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามโหฬารที่สุดในภาคใต้ บารมีของหลวงพ่อแช่มก็มีมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้


 
 
วัดฉลอง หรือวัดไชยธาราราม เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป จากเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ และคุณความดี ของหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง ในการเป็นที่พึ่ง ให้แก่ชาวบ้าน ในการต่อสู้กับพวกอั้งยี่ (พวกจีนที่ก่อการกบฏ) ทั้งนี้ขอเล่าย้อนให้ฟังกันเลยแล้วกันนะ คือหลวงพ่อท่านได้มอบ ผ้าประเจียดสีขาวให้ชาวบ้านทุกคนโพกหัว เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจในการต่อสู้ จนชนะพวกอั้งยี่ได้ (ตอนนั้นพวกอั้งยี่เรียกชาวบ้านว่า "พวกหัวขาว") ภายหลังรัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าพระราชทาน สมณะศักดิ์แก่หลวงพ่อแช่มวัดฉลอง เป็น พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ซึ่งท่านก็เป็นที่เคารพเลื่อมใส ของชาวภูเก็ต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใด ก็พากันมาบนบานให้หลวงพ่อ ช่วยเหลือเสมอ ไม้เท้าของท่านศักดิ์สิทธิมาก ใครมีปาน หรือไฝในบริเวณที่ไม่พึงปรารถนา ก็มาขอเอาไม้เท้าของท่านไปจิ้ม แล้วไฝ หรือปานนั้นก็จะไม่ใหญ่ขึ้น และค่อยๆ จางไปเอง
           นอกจากหลวงพ่อแช่มแล้ว ที่วัดฉลองยังมี หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อม ที่ชาวบ้านเคารพ ศรัทธาเลื่อมใสเช่นกัน โดยนอกจากความศักดิ์สิทธิแล้ว ท่านทั้งสองยังมีชื่อเสียงทางด้าน การปรุงสมุนไพร และรักษาโรคด้วย ดังนั้นแม้ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านที่มีเรื่องทุกร้อน ก็ยังคงมากราบไหว้ บนบานไม่ขาดสายเมื่อมาถึงเขตวัดแล้ว จะได้ยินเสียงจุดประทัด แก้บนเป็นระยะๆ และหากท่าน ไม่ได้เตรียมดอกไม้ ธูป-เทียนมา ก็ต้องไปซื้อดอกไม้ ธูป เทียน ทอง ที่ซุ้มของทางวัด ซึ่งมีจำหน่ายเป็นชุดๆ และถือเป็นการทำบุญกับวัดไปในตัว เนื่องจาก ราคาของเครื่องบูชาทั้งหลายนั้น ทางวัดไม่ได้กำหนดไว้ และรายได้ที่ได้จะนำไปบำรุง-ซ่อมแซมวัดต่อไป

            ก่อนที่จะไปไหว้หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่อเกลื้อมนั้น ต้องไปไหว้พ่อท่านเจ้าวัดก่อน ตามธรรมเนียม ซึ่งพ่อท่านเจ้าวัดก็คือ พระประธานในวิหารเก่าแก่ อันเป็นที่ตั้งของวัดฉลองแต่โบราณ ก่อนที่จะย้ายออกมาตั้งอยู่ในที่ปัจจุบัน ซึ่งพ่อท่านเจ้าวัดนี้ จะมีองค์รักษ์อยู่สองคน หนึ่งคือ ท้าวนนทรี ซึ่งท่านเป็นยักษ์ ที่อยู่ในศีลในธรรม และอีกหนึ่ง คือ ตาขี้เหล็กซึ่งว่ากันว่า ท่านชอบสูบบุหรี่มาก หากใครมาบนบาน หรือขอเลขเด็ด แล้วบนด้วยบุหรี่ มักได้ผลสมใจนึกเมื่อไหว้พ่อท่านเจ้าวัดแล้วไปไหว้หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อช่วง และหลวงพ่ือเกลื้อม ที่นี่จะจัด ที่ให้จุดธูป-เทียนด้านนอก อธิษฐานตรงหน้าวิหาร แล้วปักเทียน ในรางเหล็กที่จัดไว้ให้ ส่วนธูปก็ปัก ในกระถางด้านหน้า ที่ต้องให้ทำกิจกรรมดังกล่าว กันด้านนอก คงเนื่องจาก มีคนไปสักการะมากหากจะให้จุดธูป-เทียน แล้วนำไปกราบไหว้ข้างใน ที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดกว่าด้านนอก อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับดอกไม้ และทองคำเปลวนั้น เอาไปไหว้ข้างในได้ เมื่อเข้าไปวิหาร ก็จะมีที่ไว้ให้นั่งไหว้พระ และอธิษฐาน ที่ด้านในเป็นที่ประดิษฐาน รูปหล่อจำลองหลวงพ่อทั้งสาม (หลวงพ่อแช่ม - หลวงพ่อช่วง - หลวงพ่อเกลื้อม) สำหรับติดทองคำเปลว ผู้ที่ชื่นชอบการเสี่ยงทาย และการทำนาย ก็จะมีเซียมซีไว้ให้สำหรับการนี้ด้วย แต่มีเคล็ดลับ นั่นคือ หากผลการทำนายไม่ดี เค้าบอกว่าอย่านำใบทำนายกลับบ้าน ให้ทิ้งไว้ที่วัด เหมือนฝากให้พระท่านดูแล ส่วนใครที่ได้ผลทำนายดี ก็ให้เอากลับบ้านได้ไหว้พระเสร็จแล้ว ก็เดินไปนมัสการพระบรมธาตุ ที่พระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทยบารมีประกาศ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อไม่นานมานี้ (เพื่อเป็นที่ประดิษฐาน ของพระบรมสารีริกธาตุ) บรรยากาศภายในเงียบสงบ และเย็นสบาย ที่ห้องโถงชั้นล่าง ทางวัดได้ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางต่างๆไว้ ส่วนที่ฝาผนัง จะมีภาพวาดพุทธประวัติ แสดงให้เห็น เช่น ตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพานพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่ในห้องกระจก ที่ยอดเจดีย์ ซึ่งสามารถเข้าไปสักการะได้ ทั้งนี้ทางวัด ได้จัดพื้นที่สำหรับให้ ประชาชนทั่วไปได้ชมพระบารมี และสักการบูชา โดยจัดโต๊ะบูชา พร้อมคำกล่าวบูชา เป็นภาษาบาลี และคำแปล ไว้ให้เสร็จสรรพ เสร็จจากสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ก็ไปแวะชมกุฏิจำลอง พ่อท่านสมเด็จเจ้า (หลวงพ่อวัดฉลอง) ซึ่งภายในจัดแสดง หุ่นขี้ผึ้งจำลอง ของหลวงพ่อวัดฉลอง ทั้งสามท่าน (หลวงพ่อแช่ม - หลวงพ่อช่วง - หลวงพ่อเกลื้อม) นอกจากนี้ ทางวัดยังได้นำเครื่องเรือน และเครื่องใช้โบราณต่างๆ มาจัดแสดงด้วย หลังจากเดินชมวัดมานานแล้ว ก็เกิดอาการคอแห้ง เลยพากันไปซื้อน้ำที่ร้านค้าในวัด และนั่งพักใต้ต้นไม้ ข้างกุฏิจำลอง ก่อนกลับก็แวะไปดูพระที่ซุ้มของวัด (ศาลาที่ขายดอกไม้ ธูป-เทียน) พบว่ามีนักท่องเที่ยวเช่าพระกลับไปบูชา แสดงว่าหลวงพ่อวัดฉลองนี้ เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน ทั้งชาวไทย และต่างชาติอย่างแท้จริง สมกับคำล่ำลือที่เคยได้ยินมา... วันนี้พากันมาทำบุญไหว้พระเสร็จแล้ว จิตใจก็เบิกบาน หอบบุญกลับบ้านไปตามระเบีย





วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวนผีเสื้อและโลกแมลง จ.ภูเก็ต


         สวนผีเสื้อและโลกแมลงภูเก็ต เป็นหนึ่งในสวนผีเสื้อที่ดีที่สุดในโลก ภูมิใจนำเสนอแมลงสายพันธุ์ใหม่จำนวนมาก สัตว์จำพวกแมลงมีจำนวนครอบคลุมมากกว่า 80% ของสัตว์ทั้งหมด พวกแมลงอาศัยอยู่ก่อนมนุษย์ และกว่า 400 ล้านปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ผีเสื้อเป็นสัตว์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ที่สำรวจได้ ณ ขณะนี้ มีสายพันธุ์มากกว่าหนึ่งล้านชนิด ผีเสื้อถือเป็นสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศวิทยาของธรรมชาติ ไม่มีกลุ่มของสิ่งมีชิวิตใดที่มีการสร้างสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบ สีสัน หน้าที่ และที่อยู่อาศัย ได้มากเท่ากับผีเสื้อ
          ในส่วนของแมลงในสวนผีเสื้อแห่งนี้ผู้เข้าชมจะได้พบกับ ด้วง ซึ่งถือเป็นราชินีของแมลง ผึ้ง ตัวต่อ มด ตั๊กแตน และยังมีแมลงที่น่าพิศวง อาทิ แมลงกิ่งไม้และแมลงมีปีกที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อาทิ จิ้งหรีด และจักจั่น หนอนผีเสื้อกลางคืน แมลงบินจำนวนมาก อาทิ แมลงเม่า แมลงปอ แมลงน้ำ แมงป่อง แมลงวันชนิดมีสีคล้ายตัวต่อ เป็นต้นหลังจากที่คุณได้เยี่ยมชมผ่านแมลงสายพันธ์ต่างๆ ไปแล้ว ต่อไปจะเข้าสู่ประตูที่งดงาม แสนสวยที่สุดในภูเก็ต สวรรค์อันเงียบสงบที่มีผีเสื้อจำนวนมากบินว่อนโดยอิสระไปทั่วสวน ที่นี่คุณจะพบผีเสื้อชนิดต่างๆ มากกว่า 40 สายพันธุ์ ในเขตธรรมชาติรอบๆ บริเวณแห่งนี้ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี พร้อมเพลิดเพลินไปกับพรรณไม้นานาพันธุ์ ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ นอกจากนั้นคุณจะได้ยินเสียงอันไพเราะของ นกขมิ้น ซึ่งเป็นนกหายาก และเป็นนกพื้นเมืองของเมืองไทย

         นอกจากนี้ที่สวนผีเสื้อและโลกแมลงภูเก็ต ยังเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ของเด็กๆ เพื่อเรียนรู้และศึกษากี่ยวกับวงจรชีวิตของผีเสื้อ สายพันธุ์ผีเสื้อ ความแตกต่างระหว่างผีเสื้อและแมลง คุณจะเห็นที่อยู่ของไข่ ตัวอ่อนและดักแด้ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของผีเสื้อ และหากโชคดีคุณอาจจะเห็นผีเสื้อฟักตัว และเห็นการประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ของพนักงานของเราเฉพาะที่ฟาร์มผีเสื้อที่ฟาร์มผีเสื้อภูเก็ต คุณจะประหลาดใจที่ไม่เพียงแต่พบผีเสื้อจำนวนมาก แต่มีแมลงชนิดแปลกๆ อีกด้วย อาทิ แมลงมีปีกที่มีการเคลื่อนไหวเร็วที่สุด แมลงกิ่งไม้ แมงป่อง ตัวด้วง แย้ และแมงมุมมีพิษตัวใหญ่ชนิดหนึ่ง สามารถมาเยี่ยมและชมด้วยตัวของคุณเอง
 

          เมื่อเดินชมจนเหนื่อย คุณสามารถผ่อนคลายและนั่งพักได้บริเวณบ่อปลาคาร์ฟ ซึ่งมีปลาคาร์พและปลาชนิดอื่นนับร้อยตัว ถ้าคุณโชคดีคุณอาจจะเห็นเต่าตัวใหญ่ที่มีความผิดปกติของกระดองว่ายน้ำตามเหล่าปลาคาร์พ ปลดปล่อยไปพร้อมๆ กับความงามของน้ำตกและเสียงธรรมชาติ พักสายตาของคุณไปยังทิวทัศน์และมุมธรรมชาติที่กว้างไกล
 
 
 
 
ร้านค้า
        หลังจากชมสวนผีเสื้อและสวนแมลงเสร็จ คุณจะเดินมาสู่ร้านค้าผีเสื้อที่จะเก็บผีเสื้อและสินค้าหัตถกรรมไทยไว้ สามารถซื้อเป็นของที่ระลึกกลับบ้าน เพื่อเก็บสะสมหรือซื้อเป็นของขวัญ ของฝาก นอกจากนี้คุณยังสามารถผ่อนคลายที่ร้านกาแฟ ที่มีเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นไว้คอยบริการพร้อมทั้งขนมขบเคี้ยวต่างๆ ด้วย
 
 
อัตราค่าเข้าชม / เวลาเปิดทำการ 
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็กต่ำกว่า 10 ปี 150 บาท
เปิดทุกวัน : 09.00 น. - 17.30 น.   
 
ติดต่อ
สวนผีเสื้อและโลกแมลงภูเก็ต
71/6 ม. 5 ซอยพะแนง ถ. เยาวราช ต. รัษฎา อ.เมือง จ. ภูเก็ต
โทรศัพท์: (076) 210861
แฟกซ์: (076) 523609
อีเมล์: info@phuketbutterfly.com
 


วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 เกาะที่น่าเที่ยวที่สุดใน จ.ภูเก็ต

10 เกาะที่น่าเที่ยวที่สุดใน จ.ภูเก็ต

         ภูเก็ตมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการท่องเที่ยวทางทะเลบริการอย่างพร้อมมูล ทำให้เมืองภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในน่านน้ำทะเลอันดามัน ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำดูปะการัง เล่นน้ำตามแนวหาดทราย การตกปลา         ชมธรรมชาติป่าเขา และโขดหินบนเกาะ
         เกาะภูเก็ตมีลักษณะยาวเรียวจากเหนือไปใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงๆ ต่ำๆ มีที่ราบเป็นตอนๆ  พื้นที่ของภูเก็ตเฉพาะที่เป็นดินประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ภูเก็ตมีเกาะบริวารทั้งหมด 39 เกาะ สำหรับเกาะที่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ 10 แห่ง ได้แก่



เกาะราชาใหญ่ เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวสะอาด มีหาดทางด้านตะวันตกอยู่ระหว่างหุบเขาเป็นรูปคล้ายเกือกม้า เรียกว่า ‘อ่าวน้ำตาตก’ หรือ ‘อ่าวบังกะโล’ มีหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสะอาดลักษณะคล้ายทะเลแถบหมู่เกาะสิมิลัน บนยอดเขาทางใต้ของอ่าว มีจุดชมวิวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเกาะใต้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมี อ่าวสยาม อ่าวทือ ที่มีหาดทรายขาว และทางตะวันออกของเกาะคือ ‘อ่าวขอนแค’ จะมีปะการังเขากวาง ประการังอ่อน เป็นจุดดำน้ำดูปะการังที่สมบูรณ์จุดหนึ่ง สามารถเดินทางโดยเรือ จากอ่าวฉลองใช้เวลา 2 ชั่วโมง


เกาะราชาน้อย อยู่ห่างจากเกาะราชาใหญ่ 11 กิโลเมตร เป็นเกาะที่เกิดจากทับถมของหินปะการัง จึงมีโขดหินมากกว่าหาดทราย ทางด้านตะวันตกมีอ่าวเล็ก ๆ สำหรับจอดเรือ น้ำทะเลใสสีเขียวมรกต ไม่เหมาะสำหรับเล่นน้ำ เกาะราชาน้อยเป็นจุดดำน้ำลึก มีปะการังหลากหลายชนิดทั้งปะการังโขด ปะการังจาน ปะการังอ่อนรวมทั้งฟองน้ำและกัลปังหา เคยมีการสำรวจพบปลาไหลทะเล และปลาฉลามขนาดเล็กที่นี่ด้วย รอบเกาะมีโขดหินมากและปลาชุกชุม จึงเป็นจุดที่พรานเบ็ดนิยมมาตกปลากันมาก

เกาะไม้ท่อน เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีสภาพภูมิประเทศของป่าเขาที่สมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยปะการังและมีหาดทรายขาวน้ำทะเลใส เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อน ว่ายน้ำ ตกปลา พร้อมทั้งสามารถดำน้ำชมปะการังบริเวณหน้าหายหาดได้เลย ทีนี่มีปะการังที่ยังคงความสมบูรณ์ ด้วยระยะทางห่างเพียง 9กม. จากท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต  น้ำทะเลสวยใสจนสามารถมองเห็นฝูงปลาสวยงามหลายชนิด

เกาะเฮ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของจังหวัดภูเก็ต ห่างจากชายฝั่งภูเก็ตประมาณประมาณ 10 ก.ม. เป็นอีกหนึ่งเกาะยอดนิยมของจังหวัดภูเก็ต ที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยง่าย เป็นเกาะที่มีหาดทรายอันขาวละเอียด มีปะการังน้ำตื้นที่ยังอุดมสมบูรณ์ น้ำทะเลใส มองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายมากมาย ด้านหลังของเกาะยังมีชายหาดสวย ขาวสะอาด น้ำทะเลใส  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว


เกาะตะเภาใหญ่ เกาะตะเภาใหญ่เป็นเกาะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต ใช้เวลาเดินทางโดยทางเรือจากอ่าวมะขามเพียง 11 นาที บนเกาะมีนกเงือกอาศัยอยู่


เกาะรังใหญ่เกาะรังใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต เป็นเกาะเล็ก ๆ เงียบสงบ มีบริษัทนำเที่ยวจัดนำเที่ยวชมฟาร์มมุก เป็นเกาะที่จัดให้มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิเช่น การเล่นวินเสริฟ จักยานภูเขา และการล่องเรือ


เกาะมะพร้าว อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะภูเก็ต เดินทางด้วยเรือโดยสารจากท่าเรือแหลมหินใช้เวลาประมาณ 15 นาที บนเกาะมีหมู่บ้านประมง ที่ยังมีวิถีชีวิตแบบชาวบ้านเดิม ๆ นอกจากนั้นยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่สามารถเดินศึกษาเองได้ หรือหาเช่าจักรยานขี่ท่องเที่ยวรอบ ๆ เกาะก็ได้ และหากต้องการตกปลา นั่งเรือเที่ยว


เกาะนาคาน้อย สามารถเดินทาง ได้โดยนั่งเรือหางยาว จากฝั่งอ่าวปอ เป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะภูเก็ต เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงด้านการเลี้ยงมุก นักท่องเที่ยวสามารถซื้อทัวร์ชมฟาร์มมุกดูการสาธิตวิธีเลี้ยงมุก บนเกาะมีร้านขายมุกและร้านอาหารทะเลไว้บริการ มีชายหาดสำหรับพักผ่อนว่ายน้ำได้ สามารถเดินทางไปได้ตลอดปี



เกาะไข่นอก เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไม่มากนัก มีชายหาดสวยงามทรายละเอียดขาวรอบเกาะ เล่นน้ำได้ ด้านหลังของเกาะจะมีปลาเสืออยู่เป็นจำนวนมาก รอบ ๆ บริเวณมีปะการังเขากวาง ปะการังหินซ้อน เกาะไข่นอกเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักแวะมาพักผ่อนเล่นน้ำ


เกาะบอน เกาะบอนเป็นเกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเกาะภูเก็ต มีหาดทรายขาว สามารถเล่นน้ำได้ เดินทางไปเที่ยวชมได้ แบบเช้าไปเย็นกลับ โดยสารเรือจากหาดราไวย์หรือแหลมกา ใช้เวลาเพียง 11 นาที